Thursday, December 13, 2007

Echidna..ahaha




echidna
อีคิดนา (echidna) เป็นสัตว์ประจำท้องถิ่นของออสเตรเลีย รู้จักกันในชื่อตัวกินมดหนาม (spiky anteater) พบในนิวกินีและออสเตรเลีย นอกจากตุ่นปากเป็ดแล้วมีเพียงอีคิดนาเท่านั้น ที่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับโมโนทรีม​าตา (Monotremata) ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ จึงเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพียงสองชนิดเท่า​นั้นที่ออกลูกเป็นไข่

ลักษณะ
อีคิดนามีรูปร่างคล้ายเม่นตัวเล็กๆ มีขนหยาบและขนหนาม (spine) ปกคลุมตลอดตัว เมื่อโตเต็มที่จะมีความยาวประมาณสามสิบเซนติเ​มตร จมูกเรียวยาว ขาสั้นแข็งแรง อุ้งเล็บใหญ่ ขุดดินได้ดี อีคิดนามีปากเล็ก ไม่มีฟัน หาอาหารโดยการฉีกท่อนไม้ผุ ขุดจอมปลวก ใช้ลิ้นเหนียวๆกวาดปลวก มด และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดเล็กชนิดอื่นๆ แล้วบดเหยื่อกับเพดานปากก่อนกลืน

พฤติกรรมทั่วไป
อีคิดนาเป็นสัตว์ที่สันโดษมาก มักหากินไปตามลำพัง ยกเว้นในฤดูผสมพันธุ์มันจะตามกลิ่นไปหาคู่ อีคิดนาผสมพันธุ์ในช่วงกลางฤดูหนาว หรือประมาณเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม เพราะมีขาสั้นอีคิดนาจึงเดินช้าและงุ่มง่าม แต่ว่ายน้ำเก่งจนน่าแปลกใจ
อีคิดนาตาไว จมูกไว แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูน่าเกรงขามแต่อีคิดนาเ​ป็นสัตว์ขี้อายและขี้กลัว ที่ข้อเท้าหลังของอีคิดนาตัวผู้มีเดือยยื่นออ​กมาคล้ายของตุ่นปากเป็ด ในขณะที่ตุ่นปากเป็ดสามารถใช้เดือยแทงและปล่อ​ยพิษใส่ศัตรูได้ อีคิดนากลับไม่มีคุณสมบัติดังกล่าว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้บุกรุกมันจะหลบมากกว​่าสู้ อาจจะซ่อนตัวในพุ่มไม้ หรือแทรกตัวเข้าไปในโพรงขอนไม้ ซอกหิน หรือมุดลงในดิน หากไม่มีทางเลือกอื่นมันก็จะม้วนตัวกลมให้หนา​มยื่นออกไปรอบตัว
มีศัตรูไม่กี่ชนิดที่สามารถทำร้ายอีคิดนาได้ เช่น สุนัข หมาป่าดิงโก แมว หมู ศัตรูเหล่านี้ต้องเคยผ่านประสบการณ์กับอีคิดน​ามาก่อน จึงรู้ว่าเมื่ออีคิดนาวัยผู้ใหญ่ม้วนตัวจะมีจ​ุดอ่อนที่ท้อง เพราะมันไม่สามารถม้วนจนกลมเป็นลูกบอลได้เหมื​อนอีคิดนาวัยอ่อน และเชื่อกันว่าสัตว์เลื้อยคลานบางชนิดกินลูกอคินา อีคิดนาวางไข่ครั้งละหนึ่งฟองเท่านั้น หลังผสมพันธุ์ยี่สิบสองวันอีคิดนาตัวเมียจะวา​งไข่เปลือกนิ่มออกมาหนึ่งฟอง แล้วใส่ไว้ในถุงหน้าท้องคล้ายของจิงโจ้ ซึ่งร่างกายสร้างขึ้นมาในระยะผสมพันธุ์ ฟักไข่ไว้ในถุงสิบวัน ลูกอีคิดนาจึงออกจากไข่ ลูกอ่อนของอีคิดนาเรียกว่าพักเกิ้ล (puggle) มีขนาดไม่เกินสองเซนติเมตร
เนื่องจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับโมโนทร​ีมาตาไม่มีหัวนม มีเพียงฐานนมสองข้าง พักเกิ้ลจึงดูดนมจากท่อเล็กๆที่ฐานนมแม่ และอาศัยอยู่ในถุงหน้าท้องแม่สี่สิบห้าถึงห้า​สิบห้าวัน ซึ่งเป็นช่วงที่ขนหนามเริ่มขึ้นแล้ว แม่อีคิดนาจะขุดโพรงอนุบาลไว้ใส่ลูก และกลับมาให้นมทุกห้าวัน ลูกอีคิดนาหย่านมตอนอายุประมาณเจ็ดเดือน
อีคิดนาเป็นสัตว์ที่มีอายุยืนและปรับตัวเก่ง ในเขตภูเขาช่วงหน้าหนาวมันจะจำศีลอย่างกบ ในเขตทะเลทรายตอนกลางวันมันจะหลบร้อนอยู่ในอุ​โมงค์หรือหลืบหิน ออกหากินเฉพาะตอนกลางคืน ในเขตอากาศอบอุ่นส่วนใหญ่จะออกมาตอนพลบค่ำ แต่หากอากาศหนาวขึ้นมันก็จะออกมาหากินได้ทั้งวัน





การจำแนกประเภท

อีคิดนาแยกเป็น 2 สกุล คือ Zaglossus กับ Tachyglossus
สกุล Zaglossus เป็นอีคิดนาจมูกยาว มีจมูกยาวคล้ายตัวกินมด แบ่งออกเป็น 4 สปีชีส์ สูญพันธุ์ไปแล้ว 2 สปีชีส์ สปีชีส์ Zaglossus attenboroughi เป็นอีคิดนาจมูกยาวที่เรียกว่า Cyclops Long-beaked Echidna เพิ่งค้นพบได้ไม่นาน ในบางพื้นที่ของนิวกินี ซึ่งสูงกว่าเขตที่อีคิดนาจมูกยาวสปีชีส์ Zaglossus bruijnii อาศัยอยู่ สปีชีส์ Zaglossus bruijnii เป็นอีคิดนาจมูกยาวที่เรียกว่า Long-beaked Echidna อาศัยอยู่ในป่าแถบที่ราบสูง หรือภูเขาสูงในนิวกินี อาหารคือหนอนและแมลงที่ขุดคุ้ยได้จากกองใบไม้​ที่ทับถมกันอยู่ในป่า สปีชีส์ Zaglossus hacketti สูญพันธุ์แล้ว ศึกษาจากฟอสซิล สปีชีส์ Zaglossus robustus สูญพันธุ์แล้ว ศึกษาจากฟอสซิล สกุล Tachyglossus เป็นอีคิดนาจมูกสั้น ที่เรียกว่า Short-beaked Echidna (ดูภาพประกอบ) มีเพียงสปีชี่ส์เดียว คือ Tachyglossus aculeatus พบในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของนิวกินี และทั่วทวีปออสเตรเลีย ตั้งแต่เขตภูเขาที่มีหิมะปกคลุมไปจนถึงเขตทะเ​ลทราย อีคิดนาจมูกสั้นตัวเล็กกว่าอีคิดนาจมูกยาว แต่มีขน (hair) ยาวกว่า โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่อยู่ในแทสเมเนียจะมีขนยา​วมากจนมองแทบไม่เห็นขนหนาม (spine)

สถานภาพ
แม้จะไม่สามารถบอกได้ว่าอีคิดนาจมูกสั้นมีจำน​วนประมาณเท่าไร แต่เชื่อกันว่ามันอยู่ในสถานภาพที่ไม่มั่นคงน​ัก ลักษณะและพฤติกรรมของอีคิดนาจะแตกต่างกันออกไ​ปตามถิ่นอาศัย การแยกกันอยู่อย่างกระจัดกระจายทำให้ถูกโจมตี​จากสัตว์อื่นได้ง่าย พื้นที่อาศัยลดน้อยลงก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่​มีผลกระทบต่อจำนวนอีคิดนา
อีคิดนาจมูกยาวอยู่ในรายชื่อสัตว์ใกล้สูญพันธ​ุ์แล้ว และอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วงมาก เพราะชาวนิวกินีล่ามันเป็นอาหารด้วย
เบ็ดเตล็ด มีรูปอีคิดนา ที่หลังเหรียญ 5 เซ็นต์ของออสเตรเลีย ในวีดีโอเกม โซนิคเดอะเฮดจ์ฮ็อก มีตัวการ์ตูนตัวหนึ่งชื่อ นัคเคิลส์ ดิอีคิดนา เป็นอีคิดนาสีแดง

Nana^o^





NANA!!

NANA (「ナナ」, NANA, – นานะ?) เป็นการ์ตูนแนววัยรุ่นผู้หญิงที่เรียกว่า (Shōjo or shoujo 少女) เขียนโดยนักวาดการ์ตูนแนวนี้ชื่อดัง ไอ ยาซาว่า นานะลงตีพิมพ์เป็นตอนๆในนิตยสารการ์ตูนรายสัป​ดาห์ Cookie ของสำนักพิมพ์ ชูเอฉะ
เนื้อเรื่อง
นานะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับมิตรภาพ ความรัก และความฝันของหญิงสาวสองคน ที่บังเอิญมีชื่อเดียวกัน แต่มีบุคลิกภาพตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง โคมัตสึ นานะ เด็กสาวสดใสผู้มองโลกในแง่ดี เธอมุ่งหน้าสู่ โตเกียว ด้วยหัวใจเปี่ยมรัก ด้วยความหวังที่จะพบกับชายคนรักที่จากเธอมาเร​ียนต่อที่โตเกียว ระหว่างทางเธอได้พบกับ โอซากิ นานะ บนรถไฟ หญิงสาวผู้กระโดดข้ามวัยแห่งความสดใส ด้วยหัวใจที่บอบช้ำ เธอมาโตเกียวด้วยความหวัง ที่จะตามหาความฝันที่ทำให้เธอต้องทิ้งความรัก​ไว้ข้างหลัง ทั้งสองได้พบกันอีกครั้งที่โตเกียว และได้ตกลงใจแชร์ห้องเช่าอยู่ด้วยกันที่ห้องห​มายเลข "707" ณ อพาร์ตเมนต์เก่าแห่งหนึ่งชานกรุงโตเกียวที่ชั​้น 7 ชีวิตทั้งสองคนจึงเริ่มต้นขึ้นด้วยกัน ด้วยจุดมุ่งหมายที่ต่างกัน...
นานะเป็นหนังสือการ์ตูนผู้หญิงอันดับที่ 13 ที่มียอดขายทะลุ 2.5 ล้านฉบับ แต่ก็มีนักอ่านที่เป็นผู้ชายอยู่มาก อาจเป็นเพราะว่า นานะ มีการดำเนินเรื่อง ลักษณะของตัวละคร และรายละเอียดที่เหมือนกับชีวิตคนจริงๆ
นานะ ชนะเลิศรางวัลการ์ตูนญี่ปุ่นครั้งที่ 48 โดยบริษัท โซกาคุกัน







NANA THE MOVIE

Nana the Movie “ จำวันแรกที่เราเจอกันได้ไหม...นานะ? ” หนังเรื่อง “นานะ” เป็นหนังที่สร้างมาจากหนังสือการ์ตูนที่มีชื่​อเดียวกัน ผลงานของอาจารย์ “ไอ ยาซาว่า” ซึ่งเป็นการ์ตูนที่ดังในญี่ปุ่นมากๆ มียอดขายกว่า 20 ล้านเล่มด้วยกัน
หนังเรื่อง “นานะ” เป็นหนังที่สร้างมาจากหนังสือการ์ตูนที่มีชื่​อเดียวกัน ผลงานของอาจารย์ “ไอ ยาซาว่า” ซึ่งเป็นการ์ตูนที่ดังในญี่ปุ่นมากๆ มียอดขายกว่า 20 ล้านเล่มด้วยกัน สำหรับในประเทศไทยนั้นลิขสิทธิ์เป็นของสำนักพ​ิมพ์บงกช สำหรับคนที่อาจจะยังไม่รู้จักเรื่องนานะมาก่อ​น นานะเป็นเรื่องราวของผู้หญิงสองคนที่มีชื่อว่​า “นานะ” เหมือนกันแต่มีนิสัยและบุคลิกที่ต่างกันโดยสิ​้นเชิง คนแรก “โอซากิ นานะ” เป็น นานะ ที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง เป็นสาวพังค์ที่มีความฝันที่จะโด่งดังในวงการ​ดนตรีให้ได้ เธอให้ความสำคัญในศักดิ์ศรีและความทะนงตนมากก​ว่าความรัก ส่วนอีกคน “โคมัตสึ นานะ” เป็นนานะ ที่เป็นคนร่าเริง ดูติ๊งต๊อง ทำตัวน่ารักตลอดเวลา เป็นคนที่อ่อนไหวและให้ความสำคัญในเรื่องของค​วามรักมาก เมื่อโชคชะตาทำให้ทั้งสองมาพบกันและในที่สุดก​็ได้พักอยู่ห้องเดียวกัน เรื่องราวต่างๆมากมายก็ได้เกิดขึ้น ทั้งมิตรภาพ ความรัก ความเศร้า ความประทับใจเหล่านี้จะไม่ทำให้คุณลืมเรื่องน​ี้เป็นอันขาด
นี่เป็นเรื่องราวคร่าวๆของเรื่องนานะ การ์ตูนสุดฮิตซึ่งในที่สุดก็ได้มีการนำมาทำเป​็นภาพยนตร์ และก็ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว สามารถทำให้เรารู้สึกได้ว่าตัวละครในการ์ตูนอ​อกมาโลดแล่นมีชีวิตจริงๆให้เราได้ชมกัน ยิ่งนานะทั้งสองด้วยแล้ว ทั้งอิมเมจภาพลักษณ์และบุคลิกเรียกได้ว่าถอดแ​บบออกมาจากการ์ตูนโดยไม่มีผิดเพี้ยนเลย ตัวละครอื่นๆแม้หน้าตาจะไม่เหมือนมากนักแต่ก็​แสดงได้ดีเลยล่ะ
Staff Executive Producers : Kunikatsu Kondo , Kazuya Hamana Producers : Toshiaki Nakazawa , Osamu Kubota Original Comic : Ai Yazawa Written by : Kentaro Otani , Taeko Asano Cinematography : Kazuhiro Suzuki Music : Tadashi Ueda Edited : Shuichi Kakesu Art Director : Norihiro Isoda Sound : Kazushiko Yokono Lighting Director : Toshiatsu Kozuma Directed by Kentaro Otani



เพลงประกอบสุดเพราะ ที่สำคัญก็คือเรื่องนี้มีเพลงที่เพราะมากๆหลา​ยเพลงด้วยกัน แต่เพลงหลักของเรื่องก็คือ “Glamorous Sky” ( ท้องฟ้าพร่างพราว ) เพลงเพราะสุดมันส์ที่ร้องโดย “มิกะ นากาชิมะ” ผู้ที่แสดงเป็นนานะพั้งค์ เนื้อร้องแต่งโดย "อ.ไอ ยาซาว่า" เอง แถมยังได้ "HYDE" จาก "L'Arc~en~Ciel" มาเป็นโปรดิวเซอร์เพลงและแต่งทำนองให้อีกด้วย ส่วนเพลงหลักอีกเพลงก็คือ “Endless Story” เพลงเพราะสุดซึ้งร้องโดย “ยูนะ อิโต” ผู้รับบทเป็น “เรร่า” นักร้องของวง “แทรปเนสต์” คู่แข่งของวง “บลาสต์ ( แบล็ค สโตนส์ )” ของนานะอีกด้วย ผมเชื่อเหลือเกินว่าใครที่ได้ดูเรื่องนี้แล้ว​ย่อมที่อยากจะได้เพลงของเรื่องนี้มาเก็บไว้ฟั​งแน่นอนครับ
ความเห็นหลังจากได้ดู การดำเนินเรื่องถือว่าทำได้กระชับและเล่าเรื่​องได้ดี เพราะต้องถอดเรื่องจากหนังสือการ์ตูนออกมาทำเ​ป็นหนังภายในเวลาที่จำกัดเพียง 113 นาทีเท่านั้น
ตัวหนังจะเริ่มที่คอนเสิร์ตที่บ้านเกิดของนาน​ะและตัดมาที่ฉากบนรถไฟที่ทั้งสองได้พบกันเลย แล้วจึงมีการเล่าเรื่องในอดีตของทั้งสองอีกคร​ั้งหนึ่ง ซึ่งก็ถือว่าทำได้ดีเลยล่ะ เพียงที่ติดอยู่ที่หนังมันอาจจะจบห้วนไปซักนิ​ดนึง
ตอนแรกที่ผมดูผมก็ลุ้นอยู่ตั้งนานว่าหนังจะทำ​ให้จบยังไงกันน๊า?? แต่พอหนังจบจริงๆ หลายๆคนที่ได้ดูแล้วก็คงจะรู้สึกเช่นกันว่า "เฮ้ย!! มันจบแล้วเหรอเนี่ย?" ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนอ่านการ์ตูนจบตอนหรือ​ว่าจบเล่มมากกว่าที่จะจบเรื่อง แต่เนื่องจากข่าวที่ทางเว็ปเราได้เคยนำเสนอไป​ว่าเรื่องนานะนี้มีการทำภาคต่อแน่นอน ทำให้ผมจึงไม่ประหลาดใจเท่าไหร่ที่มันจะจบแบบ​นี้ แต่ถ้าใครไม่รู้มาก่อนอาจจะช๊อคเลยล่ะ







หยุด! ภาวะโลกร้อน




ปรากฏการณ์โลกร้อน หรือ ภาวะโลกร้อน (global warming) คือปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิเฉลี่ยของผิวโลกและผืนมหาสมุทรสูงขึ้น โดยมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ เป็นตัวการกักเก็บความร้อนจากแสงอาทิตย์ไว้ไม่ให้คายออกไปสู่บรรยากาศปรากฏการณ์โลกร้อนถือเป็นผลพวงจากการมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกิดขึ้นในบรรยากาศ ซึ่งเป็นสาเหตุให้รังสีความร้อนที่ผ่านชั้นบรรยากาศเข้ามาถูกกักไว้ในโลกโดยไม่สามารถสะท้อนกลับออกไปได้ หรือที่เรียกว่าภาวะเรือนกระจก การเกิดขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ส่วนใหญ่มีสาเหตุจากกระบวนการเผาไหม้ของการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล อาทิ น้ำมันปิโตรเลียม ถ่านหิน เป็นต้น ทั้งจากกิจกรรมการขนส่งและการผลิตกระแสไฟฟ้า แนวทางหนึ่งของการลดปริมาณการผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คือ ลดการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น อาทิ พลังงานชีวมวล พลังงานน้ำ พลังลม พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานจากเซลล์เชื้อเพลิง พลังงานนิวเคลียร์ เป็นต้น





อย่างไรก็ตามการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีมารองรับ ซึ่งปัจจุบันการใช้พลังงานหมุนเวียนบางประเภทยังมีต้นทุนที่แพงกว่าพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น พลังงานแสงอาทิตย์พลังงานจากเซลล์เชื้อเพลิง) มีกระแสต่อต้านจากมวลชนเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (เช่น พลังงานนิวเคลียร์ พลังงานน้ำจากการสร้างเขื่อน) และปัญหาความเพียงพอของวัตถุดิบในการผลิตเชื้อเพลิง (เช่น พลังงานชีวมวล ซึ่งใช้วัตถุดิบร่วมกับภาคเกษตร




มหันตภัยร้ายที่กำลังคุกคามโลกอยู่ขณะนี้ คือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ปริมาณมหาศาลที่มนุษย์เป็นผู้ก่อ ถูกปล่อยออกมาสู่ชั้นบรรยากาศโลกหนาขึ้นเท่าไร ก็จะเป็นตัวการกักเก็บความร้อนจากแสงอาทิตย์ไว้ไม่ให้คายออกไปสู่บรรยากาศ ซึ่งมีต้นเหตุจากการที่มนุษย์ได้เพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จาก การเผาไหม้เชื้อเพลิงต่างๆ การขนส่งและ การผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม นอกจากนั้น มนุษย์เรายังได้เพิ่มก๊าซกลุ่มไนตรัสออกไซด์และคลอโรฟลูโรคาร์บอน (CFC) เข้าไปอีกด้วยพร้อมๆกับการที่เราตัดและทำลายป่าไม้จำนวนมหาศาล ทำให้กลไกในการดึงเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปจากระบบบรรยากาศถูกลดทอนประสิทธิภาพลง และได้หวนกลับมาสู่เราในลักษณะของภาวะโลกร้อน ก็จะส่งผลให้อุณหภูมิของบรรยากาศโลก สูงขึ้นจนถึงระดับอันตรายผืนน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือและธารน้ำแข็งบนภูเขาทั้งหมดทั่วโลกค่อยๆ ละลายลงเรื่อยๆ และอาจจะทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นถึง 20 ฟุต



ผลกระทบ และผลลัพธ์ที่คาดว่าจะตามมา

ต่อสภาพภูมิอากาศ
สภาพอากาศแปรปรวนมากยิ่งขึ้น
ความชื้นในอากาศเพิ่มมากขึ้นเนื่องด้วยการระเหยของน้ำที่มากขึ้น
ความไม่มั่นคงของอุณหภูมิ

ต่อทะเลและมหาสมุทร
ธารน้ำแข็งและน้ำแข็งตามทั่วโลกละลาย
น้ำทะเลสูงขึ้น
อุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทรสูงขึ้น
การเปลี่ยนสภาวะของน้ำเป็นกรด
การหยุดไหลของกระแสน้ำอุ่น

ต่อมนุษย์
เกิดการขาดแคลนน้ำดื่ม
เกิดการอพยพย้ายที่อยู่อาศัยเนื่องจากโดนน้ำท่วม
เกิดโรคร้ายเพิ่มขึ้น


ตัวอย่างผลกระทบที่เกิดขึ้น

สภาพภูมิอากาศ
ปี 2004 บราซิลซึ่งตั้งอยู่บริเวณส่วนใต้ของมหาสุมุทรแอตแลนติกถูกถล่มด้วยพายุเฮอร์ริเคนครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หลังจากที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันมาตลอดว่า "เป็นไปไม่ได้ที่เฮอร์ริเคนจะก่อตัวขึ้นในส่วนใต้ของมหาสุมุทรแอตแลนติก"
ปี 2005 สหรัฐอเมริกาต้องเผชิญกับพายุเฮอร์ริเคนถึง 27 ลูกซึ่งรวมถึงเฮอร์ริเคนแคทรีนาที่สร้างความเสียหายอย่างหนักให้เมืองนิวออร์ลีนส์ ในขณะที่ญี่ปุ่นถูกถล่มด้วยพายุไต้ฝุ่นมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง 10 ลูก จากเดิมที่มีสถิติสูงสุดเพียง 7 ลูกต่อปีเท่านั้น
ปี 2006 ออสเตรเลียถูกพายุไซโคลนระดับ 5 ซึ่งมีกำลังมหาศาลเข้าถล่มหลายลูก โดยเฉพาะไซโคลนโมนิกาที่วัดได้ว่าเป็นไซโคลนที่มีกำลังแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยไซโคลนลูกนี้มีกำลังมากกว่าเฮอร์ริเคนแคทรีนาเสียอีก

สภาพภูมิประเทศ

แหล่งน้ำ
ทะเลสาบชาด อดีตทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 6 ของโลก แหล่งน้ำกินน้ำใช้ของประชาชนในประเทศชาด ไนจีเรีย แคเมอรูนและไนเจอร์ ภายในเวลาเพียง 40 ปี ทะเลสาบแห่งนี้ ต้องประสบกับการเหือดแห้งของน้ำในทะเลสาบอย่างรุนแรง จนกระทบต่อชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่รอบทะเลสาบอย่างรุนแรง



คุณธรรมนำความรู้ :อริยสัจ4



ในทางพุทธศาสนา อริยสัจ 4 เป็นคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประการหนึ่ง ว่าด้วย ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการซึ่งเป็นรากฐานของคำสอนพระองค์ทั้งมวล กล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า เป็นความจริง 4 ประการที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยบุคคล ความจริงทั้งสี่ประการนั้นมีดังต่อไปนี้


ทุกขสัจจ์ กล่าวว่า ความทุกข์มีอยู่จริง โดยพระพุทธองค์ตรัสว่า การเกิด ความแก่ชรา ความตาย ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ การพบสิ่งอันไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ความไม่สมปรารถนา นั้นเป็นทุกข์


สมุทัยสัจจ์ กล่าวว่า ความทุกข์ทั้งหลายนั้นมีสาเหตุ พระพุทธองค์ตรัสว่าสาเหตุของความทุกข์นั้นคือ การไปสมมติว่าธรรมชาติซึ่งที่ไม่จีรังยั่งยืนนั้นมีตัวตน มีแก่นสาร และเที่ยงแท้ ทำให้เกิดตัณหา คือความอยากอันขัดแย้งกับความเป็นจริงที่ว่าทุกสิ่งไม่สามารถให้ความพึงพอใจได้อย่างเที่ยงแท้ เมื่อธรรมชาติไม่เป็นไปตามที่ต้องการก็เกิดความทุกข์

นิโรธสัจจ์ กล่าวว่า ความดับทุกข์นั้นมีอยู่จริง และความดับทุกนั้นคือภาวะที่ไม่มีความยึดติด ไม่มีความอยาก มีปัญญาเข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายเป็นทุกข์ และไม่นำยึดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นตัวเป็นตน อันจะทำให้เป็นสาเหตุแห่งความไม่สบายกายไม่สบายใจ จึงเป็นอิสระจากทุกข์ทั้งมวล ภาวะนี้เรียกได้อีกอย่างว่านิพพาน

มัคคสัจจ์ กล่าวว่า วิธีปฏิบัติให้บรรลุถึงความดับทุกข์นั้นมีอยู่จริง คือ การรักษาคำพูด การกระทำ การหาเลี้ยงชีพ ความพยายาม สติ สมาธิ ความเห็น และความคิด ให้ถูกต้องดีงามและสอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งวิธีการปฏิบัตินี้สรุปได้เป็นหลักคำสอนที่ชื่อว่า มรรค 8 หรือ มรรคมีองค์แปด (ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ)





การศึกษาย่อมเป็นปราการด่านสำคัญที่จะปลูกฝัง และสร้างจิตสำนึกด้านคุณธรรมควบคู่ไปกับที่นักเรียนนักศึกษาจีนได้รับการปลูกฝังให้มีความเป็นชาตินิยม คือรัก และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมของชาติจีนมาก พวกเขาจะทำทุกอย่างให้ประเทศจีนเจริญ เพราะจีนเป็นประเทศใหญ่ ทรัพยากรในการตอบสนองความต้องการถูกจำกัดด้วยระบบการปกครอง เพื่อกระจายความเท่าเทียม และลดช่องว่างระหว่างเศรษฐีกับยาจก แต่ก็เปิดโอกาสให้เยาวชนจีนมีเสรีภาพมากในด้านการศึกษา โดยเฉพาะเมื่อพบว่าตนเองมีศักยภาพ และความสนใจในที่จะเรียนในด้านใดที่ดีแล้ว เขาจะส่งเสริมกันอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะด้านกีฬา ที่จีนจะคว้าเหรียญทองในกีฬาเกือบทุกประเทศในการแข่งขันระดับนานาชาติเป็นประจำ

นอกจากนี้ ยังมีด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเมื่อหลายสิบปีก่อนจีนนั้น ยังล้าหลังกว่าไทยเยอะมาก แต่ปัจจุบันจีนก้าวหน้าไปมากแล้ว ทั้งนี้ เพราะการเปิดโอกาสให้นักเรียนนักศึกษาได้ค้นคว้าแนวทางที่ตนชอบ และสนใจอย่างจริงจัง และรัฐพร้อมสนับสนุนให้ผู้ที่สนใจในสาขาวิชานั้นก้าวไปสู่ความเป็นเลิศ ไม่ว่าจะเป็นด้านวิชาการ วิชาชีพ หรือวิชาชีวิต


ทำให้พวกเขาเรียนรู้ได้อย่างมีความสุข มีความกตัญญูต่อชาติบ้านเมืองมากขึ้น และพร้อมจะต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีของประเทศชาติอย่างแท้จริง หากจะมีการปฏิรูปการศึกษา สิ่งที่ดีที่สุดคือนักเรียนนักศึกษาได้เรียนในสิ่งที่รัก และทำเต็มที่ให้ดีที่สุด โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติในการแข่งขันกับนานาประเทศกันก็จะดีกว่าให้พวกเขาต้องมากลุ้มกังวลกับค่าเทอมที่จะปรับตัวสูงขึ้น การแข่งขันกันสอบเข้าโรงเรียนที่ดี มหาวิทยาลัยที่แทนที่จะเป็นคณะ หรือวิชาที่ชอบ เพื่อจะได้พัฒนาศักยภาพของตนได้อย่างเต็มที่ครับ



Self-sufficiency Economic >0<




เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตน ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระราชดำรัสแก่พสกนิกรชาวไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 และพูดถึงอย่างขัดเจนในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540 (ภายหลังวิกฤติเศรษฐกิจ พ.ศ. 2540) เพื่อเป็นแนวทางการแก้ไขเศรษฐกิจของประเทศไทย ให้ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในทางการเมืองของไทยแล้ว เศรษฐกิจพอเพียงมีบทบาทสำคัญในการสถาปนาอำนาจนำด้านอุดมการณ์ โดยเฉพาะอุดมการณ์กษัตริย์นิยมในสังคมไทย ในฐานะ "กษัตริย์นักพัฒนา" ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตของอุดมการณ์เศรษฐกิจพอเพียง สิ่งเหล่านี้ถูกตอกย้ำและผลิตซ้ำโดยสถาบันทางสังคมต่าง ๆ เช่น สถาบันการศึกษา หน่วยงานราชการ สื่อมวลชน ส่งผลให้เศรษฐกิจพอเพียงมีบทบาทต่อการกำหนดอุดมการณ์การพัฒนาของประเทศ และการพยายามตีความเพื่อสร้างความชอบธรรมในการพัฒนาโดยปัญญาชนอย่าง ประเวศ วะสี, เสน่ห์ จามริก, อภิชัย พันธเสน และ ฉัตรทิพย์ นาถสุภา ซึ่งเชื่อมโยงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับอุดมการณ์วัฒนธรรมชุมชน ที่ถูกเสนอมาก่อนหน้าโดยองค์กรพัฒนาเอกชนจำนวนหนึ่งตั้งแต่พุทธทศวรรษ 2550 ก็ได้ช่วยให้อุดมการณ์เศรษฐกิจพอเพียงขยายครอบคลุมส่วนต่าง ๆ ของสังคม


สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในทางเศรษฐกิจและสาขาอื่น ๆ มาร่วมกันประมวลและกลั่นกรองพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อบรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549 และได้จัดทำเป็นบทความเรื่อง "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" และได้นำความกราบบังคลทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2542 โดยทรงพระกรุณาปรับปรุงแก้ไขพระราชทานและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำบทความที่ทรงแก้ไขแล้วไปเผยแพร่ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติของสำนักงานฯ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนโดยทั่วไป เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542


ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ได้รับการเชิดชูสูงสุดจากองค์การสหประชาชาติ ว่าเป็นปรัชญาที่มีประโยชน์ต่อประเทศไทยและนานาประเทศและสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกยึดเป็นแนวทางสู่การพัฒนาแบบยั่งยืน ในขณะที่นักวิชาการและสื่อจำนวนหนึ่งตั้งคำถามถึงการยกย่องนี้ รวมทั้งความน่าเชื่อถือของรายงานศึกษาและท่าทีของสหประชาชาติ

หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

"...คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขาจะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งใหม่แต่เราอยู่ อย่างพอมีพอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทยพออยู่พอกิน มีความสงบ ช่วยกันรักษาส่วนร่วม ให้อยู่ที่พอสมควร ขอย้ำพอควร พออยู่พอกิน มีความสงบไม่ให้คนอื่นมาแย่งคุณสมบัตินี้ไปจากเราได้...”

พระราชกระแสรับสั่งในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงแก่ผู้เข้าเฝ้าถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาแต่พระพุทธศักราช 2517

การจะเป็นเสือนั้นมันไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เราพออยู่พอกิน และมีเศรษฐกิจการเป็นอยู่แบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกิน หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง

— พระราชดำรัส "เศรษฐกิจแบบพอเพียง" พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540




เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ยึดหลักทางสายกลาง ที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัวไปจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศ ให้ดำเนินไปในทางสายกลาง มีความพอเพียง และมีความพร้อมที่จะจัดการต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งจะต้องอาศัยความรอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง ในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอน เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เพียงการประหยัด แต่เป็นการดำเนินชีวิตอย่างสมดุลและยั่งยืน เพื่อให้สามารถอยู่ได้แม้ในโลกโลกาภิวัตน์ที่มีการแข่งขันสูง


สาเหตุที่แนวทางการดำรงชีวิตอย่างพอเพียง ได้ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในขณะนี้ เพราะสภาพการดำรงชีวิตของสังคมทุนนิยมในปัจจุบันได้ถูกปลูกฝัง สร้าง หรือกระตุ้น ให้เกิดการใช้จ่ายอย่างเกินตัว ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินกว่าปัจจัยในการดำรงชีวิต เช่น การบริโภคเกินตัว ความบันเทิงหลากหลายรูปแบบ ความสวยความงาม การแต่งตัวตามแฟชั่น การพนันหรือเสี่ยงโชค เป็นต้น จนทำให้ไม่มีเงินเพียงพอเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น ส่งผลให้เกิดการกู้หนี้ยืมสิน เกิดเป็นวัฏจักรที่บุคคลหนึ่งไม่สามารถหลุดออกมาได้ ถ้าไม่เปลี่ยนแนวทางในการดำรงชีวิต